หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

กาพย์ฉบัง๑๖



กาพย์ฉบัง๑๖


กาพย์ฉบัง๑๖
แผนผังกาพย์ฉบัง๑๖
ลักษณะคำประพันธ์
 ๑.   บท บทหนึ่งมี ๓ วรรค อาจเรียกว่าวรรคสดับ วรรครับ วรรคส่ง ก็ได้ แบ่งเป็น
วรรคแรก (วรรคสดับ) มี ๖ คำ       วรรคที่สอง (วรรครับ) มี ๔ คำ
วรรคที่ ๓ (วรรคส่ง) มี ๖ คำ
รวมทั้งหมด ๑๖ คำ จึงเรียกฉบัง ๑๖
     ๒. สัมผัส
ก.   สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค อันเป็นสัมผัสบังคับ มีดังนี้
คำสุดท้ายของวรรคหนึ่ง (วรรคสดับ) สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคสอง
(วรรครับ)
สัมผัสระหว่างบท ของกาพย์ฉบัง คือ
คำสุดท้ายของวรรคสาม (วรรคส่ง) เป็นคำส่งสัมผัส บังคับให้บทต่อไปต้องรับ สัมผัสที่คำสุดท้ายของวรรคหนึ่ง (วรรคสดับ) ดังตัวอย่าง

ฉบังสิบหกความหมาย หนึ่งบทเรียงราย
นับได้สิบหกพยางค์
สัมผัสชัดเจนขออ้าง เพื่อเป็นแนวทาง
ให้หนูได้คิดคำนึง
พยางค์สุดท้ายวรรคหนึ่ง สัมผัสรัดตรึง
สุดท้ายวรรคสองต้องจำ
สุดท้ายวรรคสามงามขำ ร้อยรัดจัดทำ
สัมผัสรัดบทต่อไป
บทหนึ่งกับสองว่องไว จงจำนำไป
เรียงถ้อยร้อยกาพย์ฉบัง
“อ.ภาทิพ ศรีสุทธิ์”

สาบเสือเจือขาวราวไพร น้อยค่าคนให้
ไม่ไร้แมลงเวียนชม
หลากพุ่มกอเกี่ยวเขียวถม รื่นตานิยม
เพาะบ่มดอกแต้มนานา
“เพรางาย klonthaiclub.com
 ข. สัมผัสใน แต่ละวรรคของกาพย์ฉบัง แบ่งช่วงจังหวะเป็นวรรคละสองคำ ดังนี้
หนึ่งสอง – หนึ่งสอง – หนึ่งสอง           หนึ่งสอง – หนึ่งสอง
หนึ่งสอง – หนึ่งสอง – หนึ่งสอง
ฉะนั้นสัมผัสในจึงกำหนดได้ตามช่วงจังหวะของแต่ละวรรคนั้นเอง ดังตัวอย่าง
กาพย์นี้ – มีนาม – ฉบัง                 สามวรรค – ระวัง
จังหวะ – จะ โคน – โยนคำ
ข้อสังเกต
กาพย์ฉบังไม่เคร่งสัมผัสใน จะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอเพียงใช้คำที่อ่านแล้วราบรื่น ตามช่วงจังหวะของแต่ละวรรคนั้น ๆ เท่านั้น
ส่วนสัมผัสนอก ระหว่างวรรคที่สอง (วรรครับ) กับวรรคที่สาม (วรรคส่ง) นั้น จะมีหรือไม่มี
ก็ได้ไม่บังคับเช่นกัน

กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘


กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘


กาพย์สุรางคนางค์๒๘
แผนผังกาพย์สุรางคนางค์๒๘
ลักษณะคำประพันธ์      
๑. บท บทหนึ่งมี ๗ วรรคขึ้นต้นด้วยวรรครับ ต่อด้วยวรรครอง และวรรคส่ง แล้วขึ้นต้น ด้วยวรรคสดับ – รับ – รอง – ส่ง ตามลำดับ รวม ๗ วรรค เป็น ๑ บท      แต่ละวรรคมี ๔ คำ ๑ บทมี ๗ วรรค รวม ๒๘ คำ จึงเรียกว่า  กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘      
๒. สัมผัส           ก.   สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค อันเป็นสัมผัสบังคับ มีดังนี้                คำสุดท้ายของวรรคต้น (วรรครับ) สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคถัดไป คือวรรครอง                คำสุดท้ายของวรรคที่สามคือวรรคส่งสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ห้า                (วรรครับ)                คำสุดท้ายของวรรคที่สี่ (วรรคสดับ) สัมผัสกับคำที่หนึ่งหรือสองของวรรคที่ห้า                 (วรรครับ)                และคำสุดท้ายของวรรคที่ห้า (วรรครับ) ส่งสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่หก                 (วรรครอง)                สัมผัสระหว่างบท ของกาพย์สุรางคนางค์ คือ                คำสุดท้ายของวรรคที่ ๗ (วรรคส่ง) เป็นคำส่งสัมผัสบังคับให้บทต่อไป ต้องรับสัมผัสที่คำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ (วรรคส่ง) 
ตัวอย่าง
สุรางคนางค์    เจ็ดวรรคจัดวาง    วรรคหนึ่งสี่คำ
สัมผัสชัดเจน     เป็นบทลำนำ      กำหนดจดจำ     รู้ร่ำรู้เรียน
รู้คิดรู้อ่าน     รู้ประสบการณ์    รู้งานอ่านเขียน
รู้ทุกข์รู้ยาก     รู้พากรู้เพียร     ประดุจดวงเทียน      ประดับปัญญาฯ
คำสุดท้ายของบทต้นคือคำว่า “เรียน” เป็นคำสัมผัสบังคับให้บทถัดไปต้องรับสัมผัส ที่วรรคสามด้วยคำว่า “เขียน” ตามตัวอย่าง
ข. สัมผัสใน แต่ละวรรคของกาพย์สุรางคนางค์ แบ่งช่วงจังหวะเป็นวรรคละสองคำ ดังนี้
หนึ่งสอง – หนึ่งสอง
หนึ่งสอง – หนึ่งสอง           หนึ่งสอง – หนึ่งสอง ฯลฯ
ฉะนั้นสัมผัสในจึงกำหนดได้ตามช่วงจังหวะของแต่ละวรรคนั้นเอง ดังตัวอย่าง
สุรางคนางค์
          เจ็ดวรรคจัดวางวรรคหนึ่งสี่คำ
          สัมผัส – ชัดเจนเป็นบท – ลำนำ
          กำหนด – จดจำรู้ร่ำ – รู้เรียนฯ
ข้อสังเกต
กาพย์สุรางคนางค์ไม่เคร่งสัมผัสใน จะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอเพียงใช้คำที่อ่านแล้วราบรื่น
ตามช่วงจังหวะของแต่ละวรรคนั้น ๆ เท่านั้น
ส่วนสัมผัสนอกระหว่างวรรคที่สองกับที่สามและวรรคที่หกกับวรรคที่เจ็ด จะมีหรือไม่มี
ก็ได้ไม่บังคับเช่นกัน

กลอนแปด



กลอนแปด

กลอนแปด เป็นคำประพันธ์อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป เพราะเป็นร้อยกรองชนิดที่มีความเรียบเรียงง่ายต่อการสื่อความหมาย และสามารถสื่อได้อย่างไพเราะ ซึ่งกลอนแปดมีการกำหนดพยางค์และสัมผัส มีหลายชนิดแต่ที่นิยมคือ กลอนสุภาพ

กลอนแปด


ลักษณะคำประพันธ์
๑.  บท บทหนึ่งมี ๔ วรรค
วรรคที่หนึ่งเรียกวรรคสดับ      วรรคที่สองเรียกวรรครับ
วรรคที่สามเรียกวรรครอง       วรรคที่สี่เรียกวรรคส่ง
แต่ละวรรคมีแปดคำ จึงเรียกว่า กลอนแปด
๒.  เสียงคำ กลอนทุกประเภทจะกำหนดเสียงคำท้ายวรรคเป็นสำคัญ กำหนดได้ ดังนี้
          คำท้ายวรรคสดับกำหนดให้ใช้ได้ทุกเสียง
          คำท้ายวรรครับกำหนดห้ามใช้เสียงสามัญกับตรี
          คำท้ายวรรครองกำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงสามัญกับตรี
          คำท้ายวรรคส่งกำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงสามัญกับตรี
 ๓. สัมผัส
          ก. สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค อันเป็นสัมผัสบังคับ มีดังนี้
คำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่ง (วรรคสดับ) สัมผัสกับคำที่สามหรือที่ห้า ของวรรคที่สอง (วรรครับ)
คำสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครับ) สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม (วรรครอง) และคำที่สามหรือที่ห้าของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง)
สัมผัสระหว่างบท ของกลอนแปด คือ
คำสุดท้ายของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) เป็นคำส่งสัมผัสบังคับให้บทต่อไปต้องรับสัมผัส ที่คำสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครับ)
ข.   สัมผัสใน แต่ละวรรคของกลอนแปด แบ่งช่วงจังหวะออกเป็นสามช่วง ดังนี้
หนึ่งสองสาม – หนึ่งสอง – หนึ่งสองสาม
ฉะนั้นสัมผัสในจึงกำหนดได้ตามช่วงจังหวะในแต่ละวรรคนั่นเอง ดังตัวอย่าง
อันกลอนแปด – แปด คำ – ประจำวรรค
วางเป็นหลัก – อัก ษร – สุนทรศรี
ตัวอย่างกลอนแปด
เรื่องกานท์กลอนอ่อนด้อยค่อยค่อยหัด
แม้นอึดอัดขัดใจอย่าไปเลี่ยง
ทีละวรรคถักถ้อยนำร้อยเรียง
แม้ไม่เคียงเยี่ยงเขาจะเศร้าไย
วางเค้าโครงโยงคำค่อยนำเขียน
เฝ้าพากเพียรเจียรจารนำขานไข
จะถูกนิดผิดบ้างช่างปะไร
เขียนด้วยใจใฝ่รักอักษรา
แม้ไม่เก่งเพลงกลอนยังอ่อนด้อย
แต่ใจรักถักถ้อยร้อยภาษา
แม้ถ้อยคำนำเขียนไม่เนียนตา
อย่าโมโหโกรธาต่อว่ากัน
ทุกทุกวรรคถัก-ร่ายหมายสืบสาน
ทุกอักษรกลอนกานท์บนลานฝัน
อาบคุณค่าช้านานแห่งวารวัน
เป็นของขวัญค่าล้นเพื่อชนไทย….
“victoria secret klonthaiclub.com
…เด็กอัญมณีมีเสน่ห์ ทั้งสวยเท่ห์มากมายชายและหญิง
แสงระยิบระยับวับวาวจริง ดั่งมนต์สิงอยู่รูปจูบแก้วพลอย
…ไม่เป็นสองรองใครไทยประดิษฐ์ งามวิจิตรเหลี่ยมพราวราวสุดสอย
มีเพชรนิลกลิ่นนางมิจางรอย ใจเฝ้าคอยถอยเพชรเก็จมณี…
“ตะวันฉาย klonthaiclub.com
ข้อสังเกต
กลอนทุกประเภทบังคับเสียงคำท้ายวรรคเป็นสำคัญ สัมผัสนอกระหว่างวรรค เฉพาะวรรค
ที่สอง (วรรครับ) และวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) นั้น จะรับสัมผัสที่คำที่สามหรือคำที่ห้าย่อมได้เสมอ
ส่วนสัมผัสในนั้นจะใช้สัมผัสสระหรืออักษรก็ได้ และสัมผัสสระจะใช้สระเสียงสั้นสัมผัสกับ
สระเสียงยาวก็ได้ เช่น
“อ่านเขียนคล่องท่องจำตามแบบครู”

วันวาเลนไทน์ valentine's day

วันวาเลนไทน์ valentine's day



ปรับปรุงเนื้อหาจาก: ประวัติวันวาเลนไทน์
14 กุมภาพันธ์ 2557 ตรงกับวันศุกร์ 
กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรัก หรือ Valentine's Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ

ประวัติวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)

เทศกาลวาเลนไทน์ (Valentine's Dayเริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง
และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระหว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine"

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส
ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลวันแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วันวาเลนไทน์ หรือ Valentine's Day ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ประวัติวันวาเลนไทน์ นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์ เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

20  เรื่องที่ควรจะรู้ไว้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์

20  เรื่องที่ควรจะรู้ไว้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์
และแล้ววันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ก็ เวียนวนมาอีกครั้ง หันไปทางไหนก็มีแต่คนรักกันๆ แต่ถึงอย่างนั้นวันวาเลนไทน์ก็ควรจะเป็นวันดีๆ ที่มีแต่เรื่องดีๆ ใช่ไหมล่ะ จึงขอนำเสนอ 20 เรื่องที่เธอควรจะรู้ไว้เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ เพื่อให้ทุกๆคน ทำวันวาเลนไทน์ของเราให้เป็นวันวาเลนไทน์ที่มีคุณค่า มากกว่าวันที่เสียเงินซื้อของขวัญ และแสดงออกว่ารักกันแบบที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของความรัก ว่าแล้วเราก็มาดูกันเลย
1. วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นระลึกถึงนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) ผู้รับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เพราะในยุคนั้นมีกฏหมายห้ามไม่ให้มีแต่งงานของพวกคริสเตียน แต่เซนต์วาเลนไทน์ยังแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียนจนถูกจับขังและ รับโทษ โดยในขณะที่ถูกคุมขังนั้น เขาก็พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขา พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ แต่เมื่อความนี้ล่วงรู้ถึงหูกษัตริย์ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศรีษะ ต่อมาเมื่อคนทั่วไปทราบเรื่องราวจึงเกิดความประทับใจและยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก นั่นเอง
2. คนที่ฟ้าส่งมาให้รักเรามากที่สุดคือ พ่อแม่ เป็นรักไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีเงื่อนไข เพราะต่อให้เราอ้วน น่าเกลียด พิการ ทำตัวงี่เง่ายังไง พ่อแม่ก็ยังรักและพร้อมจะเสียสละเพื่อเราเสมอ ดังนั้นในวันวาเลนไทน์ จึงอยากใหคุณๆ ทำดีต่อคุณพ่อคุณแม่ให้มากๆ นะคะ
3. คนที่ไม่มีแฟนไม่ใช่คนอาภัพน่าสงสารในวันวาเลนไทน์ เพราะคนโสดก็มีความรักได้ และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคนที่ไม่มีความรักในหัวใจต่างหากล่ะ อีกอย่าง...คนที่มีแฟน แต่แฟนห่วยแตก ชีวิตเหมือนถูกขังให้ทรมานไปวันๆ น่าสงสารกว่าคนโสดเป็นไหนๆ
4. จากการสำรวจพบว่าในวัยเรียน เด็กคอซอง คนที่ให้ของขวัญบอกรักกันมากที่สุดในวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่ คู่รัก แต่เป็น เพื่อน ดังนั้นอย่าเครียดไปเลยที่แม้ว่าจะยังไม่มีแฟนมาควงแขนอวดใครในวันวาเลนไทน์ เพราะถึงยังไง เราก็ยังมีเพื่อนมากมายที่มอบความรักต่อกันได้อยู่นะ
5. กุหลาบราคาแพงไม่ได้แสดงว่าเค้ารักเรามากจริงๆ ดังนั้นอย่าไปเชื่อคำพูดของใครว่า รักเรามาก เพียงเพราะเค้าให้ดอกกุหลาบราคาแพงหูฉี่ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจล้วนๆ
6. ครูที่ปรึกษาหลายท่านร้องไห้ด้วยความทราบซึ้ง เมื่อลูกศิษย์ประจำห้องมอบดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ให้ท่านคนละดอก ลองวางแผนเซอร์ไพร้ส์ครูดูไหมล่ะ ให้เพื่อนๆ เอาดอกไม้ไปไหว้ครูพร้อมๆ กัน ได้เห็นครูน้ำตาร่วงเพราะซึ้งใจชัวร์ดิ
7. เมื่อเธอมองรอบตัว จะพบสิ่งมีชีวป็นผู้ให้ความรักแก่พวกเขา มีเมตตาแก่พวกเขาดู แล้วเธอจะเต็มอิ่มไปด้วยรักในหัวใจ
8. คนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะมีความรักที่น่าอิจฉาที่สุด ตรงกันข้าม คนที่ไม่ได้ของขวัญวาเลนไทน์ซักชิ้น อาจจะมีรักที่น่าอิจฉาที่สุดเลยก็เป็นได้
9. ของขวัญวาเลนไทน์ที่มีค่าที่สุด อาจลงทุนน้อยที่สุด เช่น การ์ดที่ตั้งใจทำกับมือ ดาวกระดาษที่พับมาเป็นเดือนๆ หรือของราคาถูกแต่ตั้งใจหาซื้อมาด้วยใจ เพราะฉะนั้น อย่าตีค่าความรักของใครด้วยราคาของขวัญที่เค้าให้ เราดูที่การกระทำดีกว่านะ ก็มีค่ายิ่งใหญ่สุดๆ แล้ว
10. เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก กลับเป็นเดือนที่มีวันน้อยที่สุดของปี บอกให้เรารู้ว่า ความรักจะสั้นหรือยาวไม่ได้อยู่ที่วันเวลาที่คบกันมา แต่อยู่ที่การทำทุกนาทีให้มีค่าร่วมกันนะจ๊ะ
11. วันวาเลนไทน์ไม่ใช่วันเสียตัวแห่งชาติ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะกลายเป็นแฟชั่นแปลกๆ ไปแล้วว่าวาเลนไทน์โรงแรมม่านรูดจะต้องเต็ม! ไม่เวิร์คเลย เพราะที่สุดแล้ว คนที่จะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังก็คือเราคนเดียวเท่านั้น การมีอะไรกันไม่ได้บ่งบอกว่ารักกันเสมอไป ควรมีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
12. วันวาเลนไทน์ แม้จะตื่นเต้นยังไง ก็ยังต้องเรียนหนังสือ ไม่ใช่เอาแต่เหม่อมองรอคอยใครมาให้ดอกไม้ หรือร่าเริงโดดเรียนไปเที่ยวซะงั้น บางคนพอถึง วันวาเลนไทน์ สติแตก เอาแต่วางแผนว่าจะเซอร์ไพร้ส์แฟนยังไง ทำอะไรบ้าง สรุป วันนี้สอบตกเพราะไร้สติโดยสิ้นเชิงล่ะ
13. คนโสดก็มีวาเลนไทน์ที่อบอุ่นได้แค่เพียงรักตัวเอง ขอให้จำไว้เลยว่า แค่เพียงเราใช้วันวาเลนไทน์เป็นวันที่เราดูแลสุขภาพร่างกาย มอบความรัดให้ตัวเอง เราก็จะเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดได้อยู่แล้ว
14. อย่าเสียเงินไปซื้อดอกไม้หรือตุ๊กตามาเดินถือ เพียงเพราะกลัวขายหน้าที่ยังไม่มีใครให้ของขวัญวาเลนไทน์ มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากๆ เพราะการเดินมือเปล่าในวันวาเลนไทน์ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักกะหน่อย ถ้ารวยนักละก็ เอาเงินไปบริจาคให้เด็กยากจนดีกว่านะ
15. ถ้าอยากให้ของขวัญวาเลนไทน์ที่อยู่นานๆ ต้นไม้ในกระถางก็น่ารักดี ดีกว่าดอกไม้ราคาแพงหูฉี่ แต่สามวันเน่า ลองไปหาซื้อไม้ใบ ไม้ดอกสวยๆ เอามามอบให้กัน ราคาถูกกว่า แถมอยู่ได้นานกว่าด้วย อีกอย่างมันก็มีความหมายเป็นนัยๆ ว่า รักของเราจะมั่นคงยาวนาน เหมือนต้นไม้ที่เติบโตและไม่เหี่ยวเฉาง่ายๆ ถ้าได้รับการดูแลอย่างดีนะจ๊ะ
16. ผู้ชาย 55 เปอร์เซ็นต์มองว่าการให้ดอกไม้วาเลนไทน์เป็นเรื่องไร้สาระ บางคนถือว่าการให้ดอกไม้ผู้หญิงเป็นพวกเชยระเบิด ถ้าจะต้องทำเซอร์ไพร้ส์ให้เราวันวาเลนไทน์ เพราะความรักของเค้าอาจจะไม่ได้โฟกัสที่ตรงจุดนั้น
17. สิ่งที่จะทำให้ผู้ชายซึ้งใจและรักเรามากคือความเข้าใจ ไม่ใช่ของขวัญวาเลนไทน์ราคาแพง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องอดข้าว อดน้ำเพื่อซื้อของราคาแพงเกินตัวให้เค้า ถ้าเค้ารักเราจริง เค้าคงไม่สบายใจที่เห็นเราต้องทรมานตัวเองแบบนั้นหรอกนะ ความเข้าใจในตัวของเค้าและอยู่กับเค้าโดยสร้างความสุขให้กันได้ทุกวัน สำคัญสุดแล้ว
18. โลกของเราก็อยากได้ของขวัญวาเลนไทน์จากเธอ ลองหันมารักโลก ทำสิ่งดีๆ ให้โลกกันดูไหม เช่น ปลูกต้นไม้ สัญญากับตัวเองว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติก ประหยัดไฟ ประหนัดน้ำ ฯลฯ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
19. ความสำคัญของการมีแฟนไม่ได้อยู่ที่มีคนเดินด้วยในวันวาเลนไทน์เท่านั้น ฉะนั้นอย่าคิดโง่ๆ แค่ว่า อยากมีแฟนเพราะจะได้มีคนมาเดินข้างๆ ในวันวาเลนไทน์ จนต้องรีบควานหาเอาใครก็ได้มาเคียงคู่ เพียงเพราะว้อนท์อยากมีแฟนใจจะขาด แบบนั้นเธอเสี่ยงจะเจอรักคุดหรือรักสุดอะเฟดได้
20. เราสามารถมีวันวาเลนไทน์ได้ทุกวัน แค่เพียงทำทุกวันให้เป็นวันแห่งความรัก ดูแลกันและกันทุกวัน ใส่ใจกันทุกวัน แล้วเธอก็จะพบว่า ไม่ว่าวันไหน โลกก็เป็นสีชมพูได้ แค่เพียงยังมีกันและกันอยู่เสมอ

ทำไมวันวาเลนไทน์ ถึงให้ ช็อกโกแลต

วาเลนไทน์ ช็อกโกแลต
สงสัยกันมั้ยคะ ว่าของขวัญที่มอบให้กันใน นอกจากดอกกุหลาบ แล้ว ทำไมถึงนิยมมอบ Chocolate ให้กัน?!?!?!
เค้า ว่ากันว่า...ในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อคโกแลตยังเป็นของหายากจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้ และอาจจะรวมไปถึง การที่ช็อคโกแลตเคยเป็นสัญลักษณ์ของ เสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพ ในช่วงที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยก็ได้ หรืออาจมาจากการที่ช็อกโกแลตนั้น สามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์รักได้ด้วย เพราะมีเรื่องเล่าขานกันมาว่า นายมองเตชูมา นักรบผู้พิชิตแห่งสเปน มักจะดื่มช็อกโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนไปหาเหล่าสาวๆในฮาเร็มของเขาค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้ช่วยกระตุ้นอารมณ์รักค่ะ
นอกจากช็อคโกแลตจะเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและมิตรภาพแล้ว ช็อคโกแลตยังมีประโยชน์อีกมากมายเลยล่ะค่ะ
ในตัวช็อกโกแลตนั้น มีส่วนประกอบสำคัญเรียกว่า Flavonoid เป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือดป้องกันโรคหัวใจและการเกิดมะเร็ง ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าด้วยนะคะ นอกจากนี้ในช็อคโกแลตยังมีสารบางชนิดไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความ สุขที่ชื่อเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ซึ่งจะช่วยลดความเครียดและทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
เมื่อเห็นข้อดีของ Chocolate แบบนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะรีบไปหาซื้อมากินกันซะเยอะเกินพิกัดนะคะ หรือถ้าใครที่ได้รับ Chocolate ในวันวาเลนไทน์หลาย ก้อน ก็เก็บไว้กินวันอื่นๆบ้างนะคะ เพราะถ้ากินเยอะเกิน เดี๋ยวความอ้วนจะถามหา แนะนำ Dark Chocolate แบบ Low fat ค่ะ ซื้อไว้กินเพื่อสุขภาพกัน

ตำนานการศึกษาในสยาม

ตำนานการศึกษาในสยาม

     มนุษย์เรารู้จักการศึกษา หรือการเล่าเรียนมานานแล้ว  น่าจะพูดได้ว่า มีมาตั้งยุคสมัยหิน หรืออย่างช้า ก็ตั้งแต่ยุคแรกของยุคประวัติศาสตร์ เพียงแต่ว่าในเวลานั้น เป็นการเล่าเรียนประเภทถ่ายทอดความรู้ จากผู้ทรงความในเรื่องนั้น ๆ  โดยตรง ระบบการศึกษา ที่ถ่ายทอดความรู้ ให้กันอย่างเป็นระบบ อย่างโรงเรียนนั้น มาเกิดทีหลังมากในประเทศไทย

สมัยสุโขทัย
     การศึกษาในรูปแบบโรงเรียนของสยามประเทศนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้น อย่างเป็นทางการ ก็เมื่อในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เป็นต้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การศึกษาของสยามก่อนหน้านั้น จะเป็นอย่างไร ?
     ซึ่งหลักฐานที่แน่นอนถูกต้องตามความเป็นจริงในเรื่องนี้ ก็มีอยู่ไม่มากนัก และเท่าที่มีอยู่ ก็เป็นแค่การสันนิษฐานเอากันเะองในรุ่นหลัง ๆ  นี่เอง โดยอาศัยหลักฐานแวดล้อมจากพงศาวดารหลายฉบับ
แต่ถึงกระนั้นก็สามารถหาคำตอบได้ว่า สถานศึกษาของไทยในสมัยกรุงสุโชทัย นั้น พอที่จะแยกออกมาได้เป็น  4  แห่งกัน คือ
     วัง  สำนักราชบัณฑิต  และบ้าน
     วัง  การศึกษาในวังนั้น ก็เป็นเรื่องของสถาบันกษัตริย์โดยตรง  ผู้ที่จะมีโอกาส ศึกษาในสถานศึกษาในรั้วในวังได้  ถ้าไม่ใช่พระราชโอรส ก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ อันดับรองลงมานั่นเอง ผู้ที่เป็นครูสอนก็ได้แก่ พราหมณ์ปุโรหิต และพระภิกษุ ที่ใกล้ชิดพระราชวงศ์ หรือได้รับการคัดสรรมาอย่างดี  วิชาความรู้ที่ใกล้เล่าเรียน นอกจากวิชาหนังสือแล้ว  ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องเป็นวิชาที่เหมาะสำรับชนชั้นกษัตริย์  เช่น  การปกครองอย่างพระธรรมนูญศาสตร์ วิชาการต่อสู้สำหรับนักรบ วิชาคาถาอาคม รวมถึงตำรับตำราพิชัยสงคราม  แต่ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ต้องเรียน เรื่องการเรือน  การเย็บปักถักร้อย
     สำนักราชบัณฑิต  เป็นสถานที่ศึกษาของบรรดาลูกหลานเจ้านายเชื้อพระวงศ์ และบรรดาลูกหลานของขุนนางข้าราชบริพาร ลูกหลานคหบดี  วิชาที่สั่งสอน เล่าเรียนกันนั้น ก็มีทั้งด้านหนังสือภาษาไทย ขอม มอญ การเรียนตำราเฉพาะด้าน ในเรื่องต่าง ๆ  ตามความรู้ความชำนาญของอาจารย์ในแต่ละสำนัก อาจารย์ในสำนักนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพราหมณ์และเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิต
วัดคือสถานศึกษาในอดีตของไทย
วัด เป็นสถานศึกษาของไทยในอดีต
     บ้าน  การศึกษานั้นก็เห็นจะได้แก่การอบรมกุลบุตรกุลธิดาตามบ้านขุนนาง หรือ คหบดีผู้ที่มีหน้าที่สอนกุลบุตรกุลธิดาก็คงได้แก่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้อาวุโสในบ้านเป็นหลัก หรือผู้ที่มีความสามารถที่ได้เชื้อเชิญจ้างมาสอนบุตรหลาน แต่การเรียนภายในบ้าน ถ้าเป็นผู้เยาว์วัยก็คงสอนแค่วิชาหนังสือพออ่านออกเขียนได้  ต่อจากนั้น จึงจะได้ส่งบุตรที่เป็นผู้ชายไปเรียนหนังสือที่วัด  หรือสำนักราชบัณฑิตต่อไป  ถ้าเป็นลูกหลานที่โตหน่อยก็ต้องเล่าเรียนวิชาอาชีพอันเป็นอาชีพหลักของครอบครัว นั้น ๆ  อย่างเช่นครอบครัวช่างทอง ก็เรียนทำทอง ครอบครัวช่างเหล็ก ก็เรียนการตีเหล็กทำดาบ  เป็นต้น
     วัด  แต่ที่กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ ก็ยังหาใช่แหล่งความรู้หลักของคนทั่ว ๆ  ไปไม่  เพราะเป็นการเล่าเรียนเฉพาะในวงแคบ ๆ  สำหรับชนในชั้นนั้นหรือครอบครัวนั้น ซึ่งสถานศึกษาที่สำคัญที่สุดและเป็นต้นกำเนิดของโรงเรียนอย่างแท้จริง  เป็นสถานที่การเล่าเรียนหาความรู้ของชนทุกชนชั้นอย่างแท้จริง  สถานที่ที่ว่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นสำนักสงฆ์ ซึ่งได้พัฒนากลายมาเป็น วัด  ในตอนปลายสมัยสุโขทัย เหตุนี้เองลูกผู้ชายไทยในสมัยสุโขทัย และในสมัยต่อมา จึงต้องอาศัยวัด เป็นสถานที่เล่าเรียนกับพระสงฆ์องค์เจ้าเป็นหลักใหญ่
     วิชาที่เล่าเรียนกันในวัดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเรียนหนังสือไทย  มอญ  และขอม  รวมทั้งการอบรมสั่งสอนจริยธรรม  และเล่าเรียนคัมภีร์ทางศาสนา ทั้งกุลบุตรที่บิดามารดานำมาฝากฝั้งเป็นศิษย์วัด  สามเณร  รวมทั้งภิกษุอีกด้วย  การสอนก็สอนกันไปตามความสามารถและภูมิปัญญาของพระสงฆ์ในวัดนั้น ๆ  อีกประการหนึ่ง การศึกษาของกุลบุตรนั้นก็คือ การเล่าเรียนเพื่อเตรียมตัวที่จะบวช เป็นสามเณร และภิกษุตามขนบประเพณีเมื่อถึงวันอันควร
สมัยอยุธยา
     ในสมัยอยุธยา การปกครองได้เริ่มมีการจัดระเบียบให้เป็นแบบแผนขึ้น ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองตั้งกรุงศรีอยุธยา และได้ถูกจัดระบบการปกครองให้รัดกุมขึ้น ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถและในรัชกาลต่อ ๆ  มาอีกหลายครั้ง ทำให้เกิดระบบ ศักดินาขึ้น  มีการแบ่งชั้นวรรณะอย่างฃัดเจนขึ้น ในขณะที่สมัยสุโขทัย ไม่มีการแบ่ง เมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไปแนวความคิดของคนไทยก็เปลี่ยนไปด้วย
     ในด้านของการศึกษานั้นก็แตกต่างไปจากสมัยสุโขทัยไม่น้อยทีเดียว อย่างเช่น ความสำคัญของสถานศึกษา ที่เรียกว่าสำนักราชบัณฑิต ได้ลดถอยลงไป ในขณะเดียวกัน หน้าที่ทางให้การศึกษาไปตกอยู่ที่วัด และพระสงฆ์เป็นหลักใหญ่
     โดยที่กุลบุตรที่อยู่วัยเยาว์จะถูกส่งมาอยู่วัด โดยที่ผู้ปกครองจะนำตัวมาฝาก เป็นลูกศิษย์พระ หรือเด็กวัด  ให้อยู่กับพระสงฆ์ในวัดใกล้บ้านหรือที่ตนมีความเคารพ นับถือ หรือมีความคุ้นเคยกันดี  ซึ่งเด็กนั้นจะได้รับการสอนหนังสือทั้งภาษาไทย ขอม และวิชาอื่น ๆ  ตามความรู้ของพระสงฆ์ในวัีดนั้น ๆ  เพื่อให้ได้รับการศึกษาเ่าเรียน รวมทั้งการอบรมศีลธรรมจรรยาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  ส่วนเด็กนั้น ก็จะมีหน้าที่ปรนนิบัติ รับใช้พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์ในกิจการต่าง ๆ  จนเมื่อกุลบุตรนั้นถึงวัยอันควร ก็จะได้รับการบวชเป็นสามเณร หรืออุปสมบทเป็นภิกษุ เพื่อศึกษาเล่าเรียน ตามประเพณีต่อไป
     ในสมัยอยุธยานี้เองที่ได้เกิดประเพณีที่ลูกผู้ชายไทยจะต้องเข้าอุปสมบท ในบวรพุทธศาสนาเมื่ออายุครบบวช  หรืออายุครบ  20 ปีบริบูรณ์ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติศาสนกิจเป็นระยะเวลาหนึ่งในระหว่างเข้าพรรษา สามเดือนเป็นอย่างน้อย  มิฉะนั้น จะถือว่าบุคคลนั้นยังเป็นคนดิบอยู่ (คำเรียก ผู้ที่ยังไม่บวชเรียน) ส่วนการบวชสามเณรนั้น ก็ถือว่าเป็นการบวชเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ การอุปสมบท นั่นเอง
     และการอุปสมบทนั้น ก็ถือได้ว่า เป็นการศึกษาอย่างหนึ่ง ดังที่มีการเรียก การอุปสมบทอีกอย่างหนึ่งว่า "การบวชเรียน" เรียกผู้ที่อุปสมบทว่า "ผู้บวชเรียน" โดยมีพระภิกษุผู้เชี่ยวชาญทางหนังสือ และทางธรรมวินัยเป็นผู้สั่งสอน มีการเรียนหนังสือขอม เรียนบาลี ศึกษาพระธรรมวินัย  เป็นประการสำคัญ
     อนึ่ง ประเพณีการอุปสมบทกุลบุตรนี้เอง ที่ทำให้เกิดคำเรียกผู้ที่ลาสิกขาบทแล้ว ว่า "ทิด" หรือ "บัณฑิต" (ทิด กร่อนมาจากคำว่า "บัณฑิต" นั่นเอง บัน-ทิต สมัยก่อนอ่านอย่างนี้ ตัดเอาเฉพาะคำหลังคือ "ฑิต") และในสมัยแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็เกิดประเพณีในราชสำนักว่า ผู้ที่จะถวายตัวเข้ารับราชการ นั้น ต้องเป็นบัณฑิต คือ ผ่านการอุปสมบทมาแล้ว  เพราะจะไม่ทรงรับ ผู้ที่ยังมิได้บวชเรียนรับราชการเลย
     ซึ่งการศึกษาในวัด จะมีทั้งการอบรมสั่งสอนทั้งด้านจริยศึกษา และพุทธิศึกษา ทีเดียว  นอกจากนี้ ในบางวัด ยังได้มีการสอนวิชาพิเศษนอกเหนือไปจากที่กล่าวมา เป็นการเพิ่มเติมตามความสามารถของพระภิกษุในวัดนั้น ๆ  อย่างเช่น วัดที่มีพระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถในเชิงช่างต่าง ๆ  ก็จะมีการสอนวิชาเหล่านั้น ให้ด้วย  หรือวัดใดมีพระภิกษุที่มีความรู้ทางวิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทย และวิชาอาวุธ ต่าง ๆ  ท่านก็จะถ่ายทอดวิชาให้กับผู้เป็นศิษย์ต่อไป และในทำนองเดียวกัน ถ้าวัดใด มีพระภิกษุที่ทรงวิทยาคุณทางคาถาอาคม ก็จะมีถ่ายทอดในด้านนี้เช่นกัน
     ซึ่งจากการที่ได้มีการเล่าเรียนวิชาการต่อสู้ในวัดดังกล่าวมาแล้วนี้เอง  ที่ได้ทำให้เกิดคลาดเคลื่อนทางข้อมูลในปัจจุบันนี้ จนถึงขนาดมีคนเอาชื่อ วัดพุทไธศวรรย์ มาตั้งเป็นชื่อสำนักดาบ และก็ได้มีการนำเสนอข้อมูลบอกเล่ากันมา ในทำนองว่า "วัดพุทไธศวรรย์ คือ สำนักดาบใหญ่ในสมัยอยุธยา"
     แต่ที่ถูกต้องแล้วในสมัยอยุธยา วัดแห่งนี้มิได้เป็นสำนักดาบอย่างแท้จริง ดังที่ได้มีการยืนยันกันนั้น  เพียงแต่ว่าในวัดนี้ ได้มีการสอนวิชาเพลงอาวุธกัน และที่มีการสอนวิชาเพลงอาวุธในวัดนี้จนโ่ด่งดัง ก็เนื่องมาจากการที่วัดนี้ มีขุนนาง ฝ่ายทหารที่มีฝีมือทั้งเพลงอาวุธ และตำราพิชัยสงครามมาบวชอยู่ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด และในเวลาต่อมา ก็มีอดีตนักรบมาบวชจำพรรษาที่นี่เรื่อยมา เมื่อพระคุณเจ้า มีความสามารถในเรื่องนี้ จึงได้มีผู้นำบุตรหลานมาฝากฝังเรียนวิชาเพลงอาวุธ แต่ถ้าเป็นศิษย์ที่เป็นภิกษุ-สามเณร ก็คงเรียนในเรื่องของตำรับตำราต่าง ๆ  ที่เกี่ยวการรบเท่านั้น ท่านคงไม่ห่มผ้าเหลืองมารำดาบ ฟันดาบ เล่นกระบี่กระบอง
    ก็คงต้องชี้แจงกันรว่า สมัยอยุธยา "สำนักดาบพุทไธศวรรย์ ไม่มี  คงมีแต่ วัดพุทไธศวรรย์" เท่านั้น
โรงเรียนแห่งแรกในสยาม
     คนอยุธยาคงอาศัยวัดเป็นที่เล่าเรียนเรื่อยมา จนกระทั่งในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อประเทศสยามได้ติดต่อทางสัมพันธไมตรี และทางการค้าขายกับชาติตะวันตกมากขึ้น สถานศึกษาที่รูปแบบเป็นโรงเรียน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
     โรงเรียนดังกล่าวนี้ก็คือ ศาลาโรงเรียน  หรือ  บ้านสามเณรใหญ่ หรือโรงเรียนสามเณร ที่ตั้งอยู่  ณ ตำบลเกาะพราหมณ์ (อยู่ทางตอนเหนือของ กรุงศรีอยุธยา) ผู้ที่ตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาก็คือ สังฆราช หลุยส์ ลาโน บาทหลวง ในคณะมิชชันนารีคาทอลิก  ฝรั่งเศส  ภายในโรงเรียนแห่งนี้ มีผู้เล่าเรียนอยู่ ส่วนใหญ่เป็นสามเณร  มีสามเณรเล็ก  ประมาณ  30  คนสามเณรใหญ่ ประมาณ 30 คน
     ศาลาโรงเรียนนี้ ปรากฏหลักฐานว่า มีวิทยฐานะเทียบเท่าได้กับวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยปารีส วิชาความรู้ การเรียนการสอน ก็ใกล้เคียงกับที่สอนกัน ในวิทยาลัยนั้น คือ วิทยาศาสตร์  ประวัิติศาสตร์  ภูมิศาสตร์  เทวศาสตร์ และปรัชญา ซึ่งเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของโลกและมนุษย์ ส่วนการเรียนด้านภาษา ที่มีทั้งภาษาลาติน  ภาษาฝรั่งเศส  ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับศาลาเรียนนี้  ส. ทรงศักดิ์ศรี ได้สรุปเอาไว้ว่า
     "...จะเห็นได้ว่าบ้านเณรใหญ่นี้ เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรก ในสยามก็ซ่าได้"
     นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานระบุอีกว่า ที่ศาลาโรงเรียนนี้เอง  สังฆราชลาโน ท่านได้จัดการให้มีการตั้งโรงพิมพ์ และทำการจัดพิมพ์หนังสือขึ้นมาใช้ ในประเทศสยาม
     นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการตั้งโรงเรียนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ปรากฏข้อมูลอยู่ในหนังสือเรื่อง ความเป็นมาของแบบเรียนไทย  ซึ่งจัดทำโดย ฝ่ายห้องสมุด ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิฃาการ  กระทรวงศึกษธิการ  ซึ่งได้กล่าวถึง เรื่องนี้เอาไว้ (หน้าที่ 1) อีกว่า
     "สมัยนี้ มีการเรียนการสอนทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ  นอกจากบาลี สันสกฤตและเขมรแล้ว  ยังมีภาษาฝรั่งเศส  พม่า มอญ และจีน  ถึงขั้นมีโรงเรียน สอนหนังสือ แต่ก็เป็นโรงเรียนของพวกบาทหลวงที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ คือ โรงเรียนศีอยุธยา  โรงเรียนมหาพราหมณ์ วิทยาลัยคอนสแตนติน  โรงเรียนสามเณร  และวิทยาลัยแห่งชาติ"
      จากข้อมูลดัลกว่านี้ ก็ค่อนข้างแปลกกว่าที่ได้เคยรับรู้มา  แต่ก็เป็นปมปัญหา ที่น่าสนใจน่าศึกษากันต่อไป เกี่ยวกับระบบการศึกษาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ฯ
จินดามณี  แบบเรียนเล่มแรกในสยาม ?
     "จินดามณีเป็นตำราเรียนหนังสือไทย  แต่งไว้พิสดารตั้งแต่หัดอ่าน จนถึง แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน  บอกไว้ในตำนานนั้นว่า  พระโหราจารย์ชาวเมืองโอฆบุรี (คือเมืองพิจิตร) เป็นผู้แต่งและมีหนังสือเรื่องหนึ่ง คือ พระราชพงศาวดาร (ซึ่งหอ สมุดฯ สมมติชื่อเรียกว่า "ฉบับหลวงประเสริฐ" นั้น) ในบางแผนกข้างต้นว่า สมเด็จ พระนารายณ์ ดำรัสสั่งให้พระโหราฯ แต่งขึ้น เมื่อพุทธศักราช 2223  เป็นสันนิษฐาน ว่า สมเด็จพระนารายณ์ฯ คงโปรดฯ ให้พระโหราฯ คนเดียวกัน แต่งทั้งหนังสือ จินดามณี และหนังสือพระราชพงศาวดาร  นอกจากนี้ยังมีเค้าเงื่อนที่จะสันนิษฐาน ต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า เพราะเหตุใดสมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงมีรับสั่งให้พระโหราฯ แต่งหนังสือสองเรื่องนั้น ด้วยปรากฏในเรื่องพงศาวดารรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ ว่า เมื่อพวกบาทหลวงฝรั่งเศสแรกเข้ามาตั้งสอนศาสนาคริสตังในพระนครศรีอยุธยา นั้น มาตั้งโรงเรียนขึ้นสำหรับสอนหนังสือแก่เด็กไทยด้วย  อาศัยเหตุนั้น เห็นว่า คงเป็นเพราะสมเด็จพระนารายณ์ฯ  ทรงพระราชดำริว่า ถ้าฝ่ายไทยเอง ไม่เอาธุระ จัดบำรุงการเล่าเรียนให้รุ่งเรือง ก็จะเสียเปรียบฝรั่งเศส พระโหราฯ คงเป็นปราชญ์ มีชื่อเสียงว่าเชี่ยวชาญอักขรสมัยอยู่ในครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงมีรับสั่ง ให้เป็นผู้แต่งตำราสอนหนังสือไทยขึ้นใหม่ ส่วนการที่โปรดฯ ให้แต่งหนังสือ พระราชพงศาวดารนั้น จะเป็นแต่งหนังสือเรียนหรือแต่งสำหับให้เป็นความรู้ แก่พูต่างประเทศ ที่เข้ามาในครั้งนั้น ก็อาจเป็นได้ ทั้งสองสถาน แต่ควรฟังเป็นยุติ ได้ว่า การที่กวดขันให้ลูกผู้ดีเล่าเรียนหนังสือไทยคงเริ่มขึ้น ในรัชกาลสมเด็จ พระนารายณ์ฯ..."  
    (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ใน "บันทึกสมาคมวรรณคดี" ปีที่ 1 เล่มที่ 5 พุทธศักราช  2475)
     และ "จินดามณี" นี้เอง ที่มีความเชื่อกันว่า เป็นแบบเรียนเล่มแคกของไทย และเป็นแม่บทของแบบเรียนสมัยต่อ ๆ  มาอีกหลายเล่ม ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย มาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
     แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักปราชญ์ นักประวัติศาสตร์อีกหลายท่าน ที่มีความคิดแตกต่างไปจากนี้
     นั่นก็คือ  ปัญหาที่มีผู้พยายามขบคิดหาความจริงว่า
     "จินดามณี เป็นแบบเรียนเล่มแรกของไทยจริง ๆ  หรือ ?"
     ซึ่งทรงวิทย์  ดลประสิทธิ์  ได้ตั้งคำถามเอาไว้ในบทความเรื่อง จินดามณี "ตำรา" เล่มแรกจริงหรือ? (ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 พฤษภาคม 2524)  ดังนี้
     "...ถ้าหากเป็นตำราเล่มแรกจริงแล้ว  หมายความว่า ก่อนหน้านั้น ไม่มีตำราหรือ?
     "ในเมื่อไม่มีตำรามาก่อน ถ้าเช่นนั้นคนไทยก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เรียนหนังสือด้วยวิธีการเช่นไรไ
     "คำว่า "ตำรา" มีความหมายกว้างขวางคับแคบแค่ไหน? เพราะเรามีตำรายา ตำราหมอดูอะไรต่อมิอะไรจิปาถะ กระทั่้งตำรับพิชัยสงคราม ซึ่งเชื่อกันว่า มีมาแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นอย่างน้อย
     "ถ้าหากจินดามณีเป็น "ตำราภาษาไทย" ทีนี้การเรียนรู้อักษรไทย หรือการเรียนรู้ การแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนก่อนหน้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชล่ะเป็นอย่างไร
     "ท้ายที่สุดสมมติว่า จินดามณีเป็นตำราภาษาไทยเล่มแรกแล้ว ข้อสงสัยมีอยู่ว่า เป็นตำราสอนใคร?"
     ซึ่งในเรื่องนี้ (ในบทความเรื่องเดิมของคุณทรงวิทย์) ได้มีการถามความเห็น จากนักวิชาการ นักประวัิติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์ หลายท่านดังนี้
     ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ ประเสริฐ  ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญทางจารึกภาคเหนือ และ ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และหนึ่งในคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ ได้มีความเห็นว่า
     "ที่ว่า หนังสือจินดามณี เป็นแบบเรียนเล่มแรกนะครับ ผมเข้าใจว่า สมัยก่อน คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น พวกฝรั่งต่างชาติ เข้ามาติดต่อค้าขาย และมีสัมพันธไมตรีกันนั้น พวกฝรั่งเขาคงถามคนไทยว่า เมืองไทย มีประวัติศาสตร์ไหม อะไรทำนองนี้ เมื่อยังไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีตำราเรียน ที่จะอ้างพวกฝรั่งเขาได้ สมเด็จพระนารายณ์ฯ ท่านก็ทรงโปรดฯ ให้มีการเขียนพงศาวดารขึ้นมา เป็นฉบับหลวงประเสริฐ"
     "...พอต่อมาท่านจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระโหราธิบดี แต่งหนังสือจินดามณี เืพื่อเป็นตำราเรียนของเราขึ้นมาอย่างที่พอมีหลักฐานเหลืออยู่ คือพอจะทำให้ฝรั่ง เขาเชื่อถือได้ว่า ไทยเรามีตำราเรียนเหมือนกัน
     "ทีนี้จะเชื่อว่า จินดามณี เป็นตำราเล่มแรกของเราได้หรือไม่นั้น ก็เป็นที่ยอมรับกัน ในนักศึกษาผู้ใหญ่ ๆ  เพราะท่านมีหลักฐานมาอ้างมายืนยันไว้ เราก็รับฟังไว้ก่อน เพราะเราเองก็ยังหาหลักฐานมาหักล้าง มาขัดแย้งไม่ได้  ซึ่งอันนี้ต้องใช้เวลา พอสมควร"
     "อย่าเพิ่งให้ผมสรุปเลยนะครับ ผมว่าเอาไว้ให้เราค้นหาหลักฐานมาได้ เป็นที่แน่นอนดีกว่า จึงค่อยนำมาศึกษามาอ้างมายืนยันว่า จินดามณี ไม่ได้ เป็นตำราเล่มแรก"
     อาจารย์เปลื้อง  ณ นคร (นายตำรา  ณ เมืองใต้) ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย มีความเห็นว่า
     "หนังสือจินดามณีที่ว่าเป็นตำราเล่มแรกของไทยนั้น ก็ตามเรื่องตามหลักฐาน มันไม่มีเล่มอื่นนี่ สารานุกรมเขาอธิบายเอาไว้ละเอียดมาก โดยเฉพาะหลักฐาน ฉบับพระโหราธิบดี และอีกเล่มก็ของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ในรัชกาลที่ 3"
     "หนังสือเก่าก่อนจินดามณี เราก็ยังไม่พบ"
     ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยเอก เสนีย์  วิลาวรรณ อดีตหัวหน้า ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ทรรศนะว่า
     "เรื่องหนังสือจินดามณีนี่ เขาก็เชื่อมาอย่างนั้นนะ เพราะมันมีหลักฐานอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นมันไม่มี แต่เท่าที่มีการตรวจ การค้นพบ มันไม่น่าจะมีแค่นั้น..."
     "เรื่องจินดามณีว่าเป็นเล่มแรกนี่ ผมไม่อยากเชื่อเลย แต่มันก็ไม่มีหลักฐาน"
     อาจารย์  ภิญโญ  ศรีจำลอง  กวีร่วมสมัย และนักวิชาการ กองวรรณคดี และประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร แสดงความเห็นว่า
     "...ผมเชื่อว่าเป็นตำราเล่มแรกของไทยนะครับ โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยของเรา"
     "ก็มันมีหลักฐานนี่ครับ ปรากฏอยู่ในพงศาวดาร เล่มใดผมจำไม่ได้"
     การแสดงความเห็นในเรื่องนี้ ค่อนข้างแตกแจกออกไป มีทั้งผู้ที่เชื่อว่า "จินดามณี" เป็นแบบเรียนหรือตำราเล่มแรกของเมืองไทย ทั้งสองฝ่าย ต่างก็มีข้อคิดเห็นรองรับความเชื่อของตนต่างกันไป แต่ก็ยังหาบทสรุปไม่ได้ว่า
     "จินดามณี เป็นแบบเรียนเล่มแรกจริงหรือไม่ และถ้าไม่ใช่ หนังสืออะไร คือ แบบเรียนเล่มแรกของไทยเรา"

หนังสือจินดามณี
หนังสือจินดามณี
หนังสือจินดามณี

หนังสือประถม ก กา
หนังสือ ประถม ก กา
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงพัฒนาการศึกษาไทย อย่างเป็นระบบ
ครั้นมาถึงตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ในปีพุทธศักราช 2310 เรื่อยมาจนถึงกรุงธนบุรี และในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อได้มีการกู้อิสรภาพ บ้านเมืองคืนสู่สันติสุข อีกครั้ง ระบบการศึกษาก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยกลับมาเป็นอย่างเดิม เหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง
     "วัด" ยังคงเป็นสถานศึกษาสำคัญของคนไทยอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหน ควบคู่ไปกับการศึกษาในวัง และตามบ้านขุนนาง บ้านคหบดี
     ความสำคัญของวัดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เราจะเห็นได้จาก การที่บุคคลสำคัญ ๆ  กวีที่มีชื่เสียงในยุคนั้น เล่าเรียนศึกษา มาจากวัดด้วยกันแทบจะทั้งหมด อย่างสุนทรภู่ ก็เรียนหนังสือ ที่วัดชีปะขาว ในคลองบางกอกน้อย พระเทพโมลี ศึกษาที่วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ธนบุรี สมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ก็นักศึกษา มาจากสำนักวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนฯ) แม้องค์พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงเป็นศิษย์ของพระพุทธโฆษาจารย์ วัดโมฬีโลกยาราม
     วัด ยังคงเป็นสถานที่ให้การศึกษาทั้งด้านหนังสือ จริยศึกษา พุทธิศึกษาและวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ การช่าง หมอยา หมอสมุนไพร เช่นเดียวกันกับในสมัยอยุธยา
     ครั้งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้เกิดสถานศึกษาเพิ่มขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือไปจากวัด สถานที่นั้น ก็คือ "โรงทาน"
     ซึ่งมีกำเนิดมาจากการที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ สมเด็จพระราชวังบวร (สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ) ทรงตั้งโรงทานสำหรับเลี้ยงอาหารพวกคนยากจนขึ้น ที่พระบวรราชวัง (วังหน้า) ถึงวันพระ ก็ทรงปล่อยสัตว์และแจกเงิน คนเฒ่าคนแก่ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโสมนัส และทรงโปรดฯ ให้ตั้งโรงทานเช่นนั้นขึ้นที่วังหลวง เรียกกันว่า "โรงทานหลวง" มีการจัดทำอาหารคาวหวาน เลี้ยงพระภิกษุ สามเณร และบรรดาข้าราชการที่มาอยู่เวรในพระบรมมหาราชวัง และยังมีการบริจาคพระราชทรัพย์เป็นทานแก่คนชรา และคนพิการ อีกด้วย จากนั้น ก็ใช้สถานที่นี้ เป็นที่สำหรับพระสงฆ์ แสดงพระธรรมเทศนา และสอนหนังสือให้กับคนทั่ว ๆ  ไป


 

 

 
    
     ต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ความสำคัญ ของวัดในฐานะสถานศึกษา ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องมาจาก พระองค์ท่านทรงมีพระราชศรัทธาแก่กล้าในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ ยังไม่ได้ครองราชสมบัติ เมื่อทรงครองราชสมบัติแล้ว ได้ทรงบุรณะ ปฏิสังชรณ์วัด ทั้งในและนอกพระนครถึง 35 วัด และทรงโปรดเกล้าฯ สร้างขึ้นใหม่ 4 วัด นอกจากนี้ พวกเจ้านาย และขุนนางยังได้สร้างวัด-ปฏิสังขรณ์วัด ทั้งที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และไดม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายอีกมากกว่า 20 แห่ง จนถึงกับมีคำว่า ในรัชกาลที่ 3 ว่า "ถ้าใครสร้างวัด จะเป็นคนโปรด"
       ในด้านพระพุทธศาสนาได้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง โปรดฯ ให้สถาปนา "โรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม" กสำหรับภิกษุสามเณรขึ้นในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปรากฏว่า มีพระภิกษุสามเณรสอบได้เปรียญเอก โท ตรี ในแต่ละคราว เป็นจำนวนมาก
       ใช่แต่แค่นั้น  ยังได้ทรงมีพระราชดำริว่า ในเรื่องของวิชาชีพ อื่น ๆ  ยังไม่มีสถานที่จะศึกษาเล่าเรียนกันได้ ส่วนใหญ่ จะมีการสอนกันภายในครอบครัวหรือในวงศ์สกุล ไม่เป็นที่แพร่หลาย และคนไทยก็มีนิสัยหวงแหนวิชาความรู้ ที่ตนมีอยู่  ไม่ใคร่จะถ่ายทอดให้เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป จึงเป็นเหตุให้วิทยาการหลายอย่างมีอันต้องสูญหายไป อย่างน่าเสียดาย
     ดังนั้นในคราวที่ทรงโปรดฯ ให้มีการปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนฯ) ขึ้น จึงทรงโปรดฯ ให้ประชุม นักปราชญ์ราฃบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญในวิชาการต่าง ๆ  มาร่วมแรง ร่วมใจกัน ทำการจารึกวิชาการต่าง ๆ  เอาไว้ โดยที่ก่อนจะดำเนินการจารึกวิชาการต่าง ๆ  นั้น ก็ให้ผู้รู้ ที่จะมาร่วมในการถ่ายทอดความรู้ลงบนแผ่นศิลา ทำการสาบานตนเสียก่อนว่า จะไม่มีการปกปิด หรือทำให้วิชาความรู้นั้นวิปลาสไปจากที่เป็นจริง วิชาการ ทีทรงให้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในครั้งนั้นก็มี อาิทิ  วิชาอักษรศาสตร์  แพทยศาสตร์  คชศาสตร์ เครื่องประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ  ขนบประเพณี การช่างต่าง ๆ  เป็นต้น โดยให้นำเอาวิชาการ ที่ได้รวบรวมผู้รู้มานั้น มาทำการจารึกลงบนแผ่นศิลา ทำเป็นรูปปั้น ประกอบคำอธิบาย และเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง เพื่อเป็นการสืบทอดวิชาความรู้ต่อไปในภาคหน้า มิให้สูญหายไป
อุบัติการณ์แห่งแบบเรียนภาษาไทย
     จากที่ทราบกันมาแต่เดิมว่า "จินดามณี" เป็นแบบเรียนเล่มแรก ของสยามประเทศดังกล่าวมาแล้ว เมื่อเวลาผ่านมา มากกว่าศตวรรษ ก็ได้เกิดแบบเรียนขึ้นใหม่อีก 2 เล่ม คือ
     หนังสือประถม ก  กา และ หนังสือ ประถม มาลา
     เล่มแรกที่จะกล่าวถึงคือ "หนังสือประถม ก กา" ซึ่งที่มาของหนังสือเล่มนี้ ยังเป็นปัญหาอยู่มาก เนื่องจากยังไม่สามารถบอกได้ว่า "ใครเป็นผู้แต่ง และแต่งขึ้นเมื่อใดแน่?"  ซึ่งบางข้อมูล ก็ระบุว่า แต่ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนใด ๆ  มายืนยันได้ ถึงอย่างก็ตาม ไม่น่าจะเกินรัชกาลที่ 3
     หนังสือประถม ก กา นี้ เป็นแบบหัดอ่านเบื้องต้น ตั้งแต่สอนแจกลูก และคำกาพย์ว่าด้วยแม่ต่าง ๆ  แยกออกเป็นแม่ ๆ เริ่มต้นจากการแจกลูก แม่ ก กา แม่ กก แม่ กง แม่ กด จนถึงแม่เกอย เมื่อแจกลูกจบไปแม่แม่หนึ่งแล้ว ก็จะมีการนำเอาคำในแม่นั้น มาแต่งเป็นกาพย์ กลอน ต่อจากนั้น ก็จะเป็นการอธิบายถึงเรื่อง คำกล้ำ คำควบ และการแบ่งเป็นอักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ รวมทั้งเครื่องหมายต่าง ๆ  ซึ่ง "พงศ์อินทร์  ศุขขจร" ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์การศึกษาไทย" ว่า
     "ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ เป็นผู้ที่มีคุณลักษณะเป็นนักการศึกษา เข้าใจหลักจิตวิทยาของเด็กดี จึงได้คัดสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นออกเสีย ทำให้เรียนได้เร็วเข้าเหมาะสำหรับเรียนในชั้นต้น สอนสิ่งที่พึงปฏิบัติและสิ่งที่พึงละเว้นไม่ควรกระทำ เท่ากับเป็นการสอนจรรยามารยาทไปในตัว..."
     ส่วน หนังสือประถม มาลา ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏว่า ใครเป็นผู้แต่ง และแต่งขึ้นเมื่อใดก็ตาม แต่ก็มีข้อสันนิษฐาน จากท่านผู้รู้มาว่า น่าจะแต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ  โดยมี พระเทพโมฬี (พึ่ง) วัดราชบูรณะ เป็นผู้แต่งขึ้น
     โดยแต่งเป็นกาพย์ สอนการอ่านการเขียน ตั้งแต่ แม่ ก กา กน กง กก กด กบ กม และเกอย นอกจากนี้ ยังมีการสอนการอ่านเขียน หนังสือขอม  ตลอดจนการสอนวิธีแต่งโคลงสุภาพ โคลงกระทู้ อีกด้วย
     หนังสือประถม มาลา นี้ นอกจากวิธีการแต่ง จะมีความไพเราะ มากแล้ว ยังให้แง่คิดทางจิตวิทยากับเด็กอีกด้วย ถือได้ว่า เป็นตำราเรียนที่ถือว่าดีเยี่ยมเล่มหนึ่ง
โฉมหน้าใหม่ของการศึกษาไทย
     สืบเนื่องจากการที่มีฝรั่งชาวต่างประเทศ ได้เริ่มเข้ามาติดต่อ ทางสัมพันธไมตรี ทางการค้า และเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ วิทยาการต่าง ๆ  ของชาวตะวันตก ก็ได้เข้ามาเผยแพร่มากขึ้น เริ่มมีการสอนหนังสือภาษาอังกฤษ ขึ้นในพระบรมมหาราชวังแก่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน และนอกจากนี้ ยังมีการเรียนวิชาการต่าง ๆ  เช่น การต่อเรือกำปั่น วิชาแพทย์ วิชาเครื่องจักรกล การเดินเรือ และการถ่ายภาพ เป็นต้น
     ในขณะเดียวกัน ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั่นเอง คณะมิชชั่นนารีโดยการนำของหมอบรัดเล ได้นำเอาการพิมพ์หนังสือ และเครื่องพิมพ์เข้ามาในประเทศสยาม จึงได้มีการพิมพ์หนังสือภาษาไทยขึ้น ออกจำหน่ายจ่ายแจก แก่ประชาชนทั่วไป และแบบเรียนภาษาไทยอย่าง จินดามณี ประถม ก กา ประถม มาลา ก็ได้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นด้วย ดังนั้น การศึกษาจึงได้แพร่หลาย และสะดวกขึ้นกว่าที่เจยเป็นมา
โรงสกูลหลวง
     หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงขึ้นครองราชสมบัติ ในปีพุทธศักราช 2411 ต่อมาอีกไม่กี่ปี ในปีพุทธศักราช 2414 พระองค์ท่านได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรกในสยาม สถานที่ดังกล่าวนี้ ่คือ โรงสกูลหลวง (โรงเรียนหลวง) และ โรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษ
     โรงสกูลหลวง นี้ตั้งอยู่ข้างโรงละครเก่าในสนาม ต่อระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่างด้านทิศตะวันตก โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูใหญ่คนแรกก็คือหลวงสารประเสริฐ ปลัดกรมอาลักษณ์ (นามจริง "น้อย  อาจารยางกูร  ต่อมา ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "พระศรีสุนทรโวหาร") และโปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษสำหรับสอนภาษาอังกฤษ ให้กับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ และหม่อมเจ้าต่างกรม ที่ทรงได้เรียนภาษาไทยแล้ว โดยตั้งอยู่ที่ตึกสองชั้น ข้างประตูพิมานไชยศรี ด้านทิศตะวันออก มีนายฟรานซิส  ยอร์ช  แปเตอร์สัน  เป็นครูผู้สอน
     อนึ่ง โรงเรียนทั้งสองนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณของกรมมหาดเล็ก และขึ้นกับกรมมหาดเล็กหลวงเช่นเดียวกัน
     ต่อมาเมื่อนาย ฟรานซิส  ยอร์ช  แปเตอร์สัน  ครูสอนภาษาอังกฤษ กราบทูลฯ ขอลากลับยุโปร ในปีพุทธศักราช 2419 โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จึงต้องเลิกไป จนกระทั่งในปี พุทธศักราช 2422 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้นมาใหม่  ณ พระราชวัง นันนทอุทยาน  เรียกชื่อว่า "โรงเรียนนันทอุทยาน" หรือ "โรงเรียนสวนนันทอุยาน"  โดยโปรดฯ ให้หมอแมคฟาร์แลนด์ (S.G. Mc. Farland) มิชชั่นนารีชาวอเมริกัน ทำหน้าที่เป็นครูใหญ่ และมีคณะกรรมการคณะหนึ่ง จำนวน 8 ท่าน ทำหน้าที่ควบคุม ดูและจัดการ  และนี่คือกำเนิด "โรงเรียน" ที่มีคุณลักษณะ เป็นโรงเรียนอย่างแท้จริง แทนการเรียนตามวัด หรือบ้าน อย่างที่เคยเป็นมา
     ต่อมาในปีพุทธศักราช 2424 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ผู้บังคับการทหารมหาดเล็ก ตั้งโรงเรียนขึ้นมาสำหรับฝึกสอนผู้ที่จะเป็นนายร้อยนายสิบ ในกรมมหาดเล็ก ครั้นจำนวนนักเรียนมากขึ้น ทำให้ห้องเรียน ในโรงทหารมหาดเล็กคับแคบขึ้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระตำหนักเดิมที่สวนกุหลาบ ที่เคยใช้เป็นคลังอยู่นั้น เป็นที่ตั้งโรงเรียนมหาดเล็ก
     ครั้นโรงเรียนตั้งมาได้ปีหนึ่ง จำนวนนักเรียนมากขึ้น จนเกินอัตราที่ต้องการฝึกหัดเอาไว้สำหรับเป็นนายทหารมหาดเล็ก จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดระเบียบและแก้ไขโรงเรียน พระตำหนักสวนกุหลาบเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน แต่เนื่องจากพระตำหนักสวนกุหลาบ มีที่ไมีเพียงพอสำหรับนักเรียน จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกยาวสองชั้นทางทิศใต้ ของพระบรมราชวัง ใช้เป็นสถานที่เรียนเพิ่มขึ้น
     ดังนั้น กว่าการตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ สำเร็จบริบูรณ์ได้ ก็ล่วงเข้าปีพุทธศักราช  2427
     แต่เนื่องจากโรงเรียนที่กล่าวมาแล้วนี้ทั้งหมด เป็นสถานศึกษา สำหรับผู้ที่เป็นชายเท่านั้น ต่อมาพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร จึงทรงจัดให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์หญิง ทรงเล่าเรียนหนังสือไทยที่ตึกข้างประตูพิมานไชยศรี ด้านตะวันออก ดดยใช้ครูจากโรงเรียนหลวงนั้น มาสอนเป็นเวลา
     สำหรับการเล่าเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบนี้ ใช้แบบเรียนหลวง 6 เล่ม ซึ่งพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย   อาจารยางกูร)  รวบรวมขึ้น อันได้แก่ หนังสือมูลบทบรรพกิจ วาหนิตนิกร  อักษรพิโยค  สังโยคพิธาน  ไวพจน์พิจารณ์  และ พิศาลการันต์
     แต่เนื่องจากแบบเรียนหลวงทั้ง 6 เล่ม ที่ใช้เรียนในโรงเรียน พระตำหนักสวนกุหลาล ปรากฏว่า นักเรียนน้อยคนนัก ที่จะเรียนได้ครบทั้งหมด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะมี ผู้เรียนจบ  บางคนเรียนได้เพียงสามเล่ม ก็ต้องออกมารับราชการ เสียแล้ว  เนื่องจาก กระทรวง  ทบวง  กรมต่าง ๆ  ที่ตั้งขึ้นใหม่ กำลังต้องการผู้มีความรู้เข้ารับราชการเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการประชุมผู้ชำนาญการสอนหนังสือ อย่างเช่น พระยาศรีสุนทรโวหาร    หลวงโอวาทวรกิจ (พระยาโอวาทวรกิจ-แม่น) อาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เป็นต้น
     ที่ประชุมได้ตกลงว่า  ควรมีการสอบไล่หนังสือทำนองเดียวกับ พระสงฆ์สอบพระปริยัติธรรม  เมื่อสอบไล่ได้ ก็จะมีการออกใบสำคัญรับรองความรู้ชั้นที่สอบได้  จึงได้มีการนำความขึ้นกราบทูล ก็ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย     การสอบไล่ความรู้ทางหนังสือในประเทศไทย จึงเกิดขึ้นนับแต่นั้นมา
โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎร
     ในปี 2427  ที่ได้มีการตั้่งโรงเรียนเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ นั่นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญ ในการจะวางรากฐานการศึกษา ของประเทศ จึงทรงโปรดฯ ให้มีการตั้งโรงเรียนหลวง สำหับราษฎร ขึ้นตามวัดหลายแห่งทั้งในพระนคร และตามหัวเมืองสำคัญ ๆ  ดังนั้น โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกจึงถือกำเนิดขึ้น ที่กรุงเทพฯ นี่เอง  ณ วัดมหรรณพาราม  ถนนตะนาว ตำบลเสาชิงช้า  อำเภอพระนคร  โรีงเรียนหลวงสำหรับราษฎร แห่งแรกนี้ ก็คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" หรือ "โรงเรียนวัดมหรรณพ์"
โรงเรียนสตรีแห่งแรก
     ส่วนในเรื่องการศึกษาของหญิงไทย แต่เดิมไม่นิยม ที่จะให้สตรี เล่าเรียนทางหนังสือ นอกจากจะเรียนรู้ในเรื่อง ของการบ้านการเรือน เท่านั้น จะมีสตรีที่เล่าเรียนความรู้ ในด้านหนังสืออยู่บ้าง ก็เฉพาะสตรีชั้นสูงในรั้วในวังเท่านั้น จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังรัชกาลที่ 4 จึงได้มีการยอมรับที่จะให้สตรีสามัญ สามารถเล่าเรียนทางหนังสือ เกิดขึ้น
     ในปีพุทธศักราช  2417  โรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศสยาม จึงเกิดขึ้น โดยคณะมิชชั่นนารีชาวอเมริกันได้ก่อตั้ง "โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง" ขึ้น ซึ่งต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ ก็คือ "โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย" ในเวลานี้
     จากนั้น  ก็ได้เกิดโรงเรียนสำหรับสตรีขึ้นอีกหลายแห่ง ดังนี้
     พุทธศักราช 2423  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง "โรงเรียนสุนันทา" ขึ้น ที่ปากคลองตลาด เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ แด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์ แต่ตั้งอยู่ไม่นาน โรงเรียนประจำสำหรับสตรีแห่งแรก ที่คนจัดตั้งขึ้น ก็มีอันต้องเลิกล้มไป
     พุทธศักราช  2440  สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "โรงเรียนเสาวภาผ่องศรี" ขึ้น จากพระนามเดิมของพระองค์ ตรงบริเวณที่เป็นวัง ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  ข้างโรงเรียนราชินี ปากคลองตลาดในเวลานี้ ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนไป-กลับ
     พุทธศักราช 2444  เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม "โรงเรียนบำรุงสตรีวิชา" โรงเรียนสตรีของรัฐบาลแห่งแรก เปิดทำการสอน สถานที่ตั้งของโรงเรียนแห่งนี้ก็คือ บ้านเดิมของขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง  เวภาระ)  ที่ตำบลบ้านหม้อ (โรงเรียนเสาวภาผ่องศรีในปัจจุบัน)
     พุทธศักราช  2448  สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ได้โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนสตรีขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่ตรงบริเวณตึก มุมถนนอัษฎางค์ กับถนนจักรเพชร  ตำบลปากคลองตลาด แล้วพระราชทานนามว่า "โรงเรียนราชินี"  แต่ในเวลาต่อมา ได้ย้ายไปอยู่ที่ข้างวังหน้า ข้างวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์  ตรงข้ามกับโรงพยาบาลทหารบก ที่ถนนพระอาทิตย์  จนถึงปี พุทธศักราช 2449  จึงย้ายมาอยู่ที่ตึก สุนันทาลัย  ปากคลองตลาด  หรือในสถานที่ตั้งปัจจุบันนี้เอง
     ส่วนโรงเรียนเสาวภา นั้นต่อมาได้ยับมารวมกับโรงเรียน บำรุงสตรีวิชา  กลายมาเป็น "โรงเรียนเสาวภา" ในเวลาต่อมา
กว่าจะเป็นกระทรวงธรรมการ
     ในขณะที่การศึกษาเริ่มขยายตัวออกไปนั้น กรมมหาดเล็กหลวง ยังมีหน้าที่ในการดูแลเรื่องการจัดการโรงเรียนต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้น ในเวลานั้น ทั้งที่เป็นโรงเรียนสำหรับพลเรือน และของฝ่ายทหาร จึงทรงมีพระราชดำริว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่จะแยกการจัดการ โรงเรียนออกจากกรมมหาดเล็ก จัดเป็นกรมหนึ่ง ในส่วนราชการ ฝ่ายพลเรือนขึ้นมาต่างหาก ดังนั้น จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น แล้วโปรดฯ ให้โอนโรงเรียนทั้งปวง ที่มีอยู่ในเวลานั้นมาขึ้นกับกรมศึกษาธิการ ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน พระตำหนักสวนกุหลาบ  โรงเรียนสวนนันทอุทยาน  โรงเรียนกรมแผนที่  โดยมีที่ทำการของกรมศึกษาธิการ ตั้งอยู่ที่ตึกยาว ข้างประตูพิมานไชยศรี ด้านตะวันออก
    โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศตั้ง "กรมศึกษาธิการ" เป็นกรมอิสระขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2430
     ในเวลาต่อมาอีกสองปี ในปีพุทธศักราช 2432  ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศึกษาธิการไปรวมกับกรมอิสระอื่น ๆ  อาทิ กรมแผนที่  กรมพยาบาล  และกรมพิพิธภัณฑ์ แล้วยกฐานขึ้นเป็น "กระทรวงธรรมการ"  แต่ยังให้เรียกชื่อว่า "กรมธรรมการ" ไปก่อน และโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ทำหน้าที่เป็นอธิบดีบัญชากระทรวง
     จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน  พุทธศักราช  2435  จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศตั้ง "กรมธรรมการ" ขึ้นเป็น "กระทรวงธรรมการ"  แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาภาสกรวงศ์ (เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ - พร  บุนนาค) เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ มาทำหน้าที่ เป็นเสนาธิการกระทรวงธรรมการคนแรก
     นับตั้งแต่นั้นมา ระบบการศึกษาของประเทศ ก็ได้มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงมาเรื่่อย  อย่างเช่น
     การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง "โรงเรียนข้าราชการพลเรือน" ขึ้นมา เพื่อฝึกคนเข้ารับราชการตามกระทรวงต่าง ๆ  ในปี พุทธศักราช 2453 และต่อมาในปีพุทธศักราช 2459 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานขึ้นเป็น "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย (ที่เป็นรูปแบบมหาวิทยาลัย ทั่วไป  แต่ถ้าหมายถึงสถานที่รวบรวมวิชาการทุกสาขาไว้  วัดโพธิ์ หรือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้ชื่อว่าเป็น มหาวิทยาลัย แห่งแรก ของไทย)   
     ปีพุทธศักราช  2464  ประกาศ "พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช  2464"  บังคับให้เด็กเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือ ตั้งแต่อายุ  7  ขวบ และอยู่ในโรงเรียนจนถึงอายุ  14 ปีบริบูรณ์  โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
     ปีพุทธศักราช 2475  ทรงโปรดเกล้า่ฯ ให้ตั้ง "สภาการศึกษา" ขึ้น
     "กระทรวงธรรมการ"  เปลี่ยนชื่อมาเป็น "กระทรวงศึกษาธิการ" ในปีพุทธศักราช  2484 (ซึ่งเคยเปลี่ยนชื่อเป็น "กระทรวงศึกษาธิการ" ครั้งหนึ่งแล้ว และก่อนปีพุทธศักราช 2484  ก็ได้กลับมาใช้ว่า "กระทรวงธรรมการ" ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกในครั้งนี้)
     ตั้ง "กรมการฝึกหัดครู" ขึ้นในปี พุทธศักราช 2497
     ตั้ง "ทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ" ในปี พุทธศักราช 2417 ก่อนจะยุบรวมเข้ากับกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน ฯลฯ
ที่มา : นิตยสาร สยามอารยะ






 
       

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย 350 คำ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย 350 คำ
ซึ่งเป็นคำพื้นฐานเลยครับ ลองเอาไปศึกษาดูครับ คำที่พิมพ์ดำคือคำที่ต้องเน้นเสียงครับ (stress)
a          อะ         หนึ่ง
about  อะเบ๊า     ประมาณ, เกี่ยวกับ
above  อะบั๊ฝ     บน
act        แอ๊ค      แสดง
add       แอด      บวก
after     อ๊าฟเทอะ หลังจาก
again   อะเก๊น  อีกครั้ง
against  อะเก๊นสท ต้าน, พิง
air        แอ        อากาศ
all         ออล      ทั้งหมด
also      ออลโซ  ด้วย, เช่นกัน
always  อ๊อลเวส เสมอ
and       แอนด    และ
another อะนั๊ธเธอ อีกหนึ่ง
answer  แอ๊นเซอะ ตอบ, คำตอบ
any      เอ๊นนิ     ใดๆ, เลย
area     แอ๊เรีย    พื้นที่
as         แอส เท่ากัน, ราวกับ
ask       อาสค     ถาม
at         แอ๊ท      ที่, เวลา
back     แบ๊ค      หลัง, กลับ
base     เบส       ฐาน
be         บี          เป็น อยู่ คือ
because บิค๊อส  เพราะว่า
before  บิฟ๊อ      ก่อน
begin   บิกิ๊น       เริ่ม
best      เบสท     ดีที่สุด
better เบ็ทเทอะ  ดีกว่า
between  บิทวีน ระหว่าง
big        บิ๊ก        ใหญ่
bird       เบิด       นก
black     แบลค    สีดำ
body     บ๊อดิ      ร่างกาย
book     บุ๊ค        หนังสือ
both      โบธ       ทั้งคู่
boy       บอย      เด็กชาย
build     บิลด      สร้าง
but        บัท        แต่
by         บาย       โดย
call       คอล      เรียก, โทร
can       แคน      สามารถ, กระป๋อง
car        คา         รถยนต์
care      แค        สนใจ
carry    แค๊ริ       ถือ, ลำเลียง
cause    คอส      สาเหตุ
center เซ๊นเทอะ            ศูนย์กลาง
change เชนจ      เปลี่ยน
city      ซิ๊ททิ     เมือง
class     คลาส     ห้องเรียน
close     โคลส     ปิด
cold      โคลด     หนาว
color     คั๊ลเลอะ  สี
come    คัม        มา
complete  คัมพลีท  สมบูรณ์
country  คั๊นทริ   ประเทศ
cover   คั๊ฝเฝอะ  ปก, ปกคลุม
cross     ครอส     ข้าม
cut        คัท        ตัด
day       เด         วัน
differ    ดิ๊ฟเฟอะ แตกต่าง
direct   ไดเร๊คท  ควบคุม
do         ดู          ทำ
dog       ดอก      หมา
down    ดาวน     ลง
draw     ดรอ       วาด
during ดิ๊วริง      ช่วงระหว่าง
each     อีช        แต่ละ
early    เอ๊อลิ     แต่เช้า
earth     เอิธ       โลก
eat        อีท        กิน
end       เอนด     จบ
enough อินั๊ฟ     เพียงพอ
even     อี๊ฟวัน    แม้, ซ้ำยัง
ever     เอ๊ฝเฝอะ เคย
every   เอ๊ฝริ      ทุกๆ
example อิกซ๊ามพัล ตัวอย่าง
eye       อาย       ตา
face      เฟส       หน้า
family   แฟ๊มลิ    ครอบครัว
far        ฟา        ไกล
fast       ฟาสท    เร็ว
father   ฟ๊าเธอะ พ่อ
feel       ฟีล        รู้สึก
few       ฟิว        สองสาม
find       ไฟด      ค้นพบ, ค้นหา
fire       ไฟร       ไฟ
first       เฟิสท     ที่หนึ่ง, แรก
fish       ฟิช        ปลา
follow   ฟ๊อลโล  ติดตาม
food      ฟูด        อาหาร
for        ฟอ        สำหรับ
form     ฟอม      รูปแบบ
friend    เฟรนด   เพื่อน
from     ฟรอม    จาก
get        เก็ท       ได้รับ, ไปถึง
girl        เกิล       เด็กหญิง
give      กีฝ        ให้
go         โก         ไป
good     กูด        ดี
govern  กั๊ฝฝัน   ปกครอง
great     เกรท     ยอดเยี่ยม
ground กราวด    พื้น
group    กรูพ      กลุ่ม
grow     โกร       โต
half       ฮาฟ      ครึ่ง
hand     แฮนด    มือ
happen แฮ๊พพัน เกิดขึ้น
happy  แฮ๊พพิ    มีความสุข
hard      ฮาด       ยาก
have     แฮฝ      มี
he         ฮี          เขา
head     เฮด       หัว
hear      เฮีย       ได้ยิน
help      เฮ็ลพ     ช่วย
her       เฮอ       หล่อน
here      เฮีย       ที่นี่
high      ไฮ        สูง
him       ฮิม        เขา
his        ฮิส        ของเขา
hold      โฮลด     ถือ
home    โฮม       บ้าน
horse    ฮอส      ม้า
hot        ฮ็อท      ร้อน
hour      เอาเวอะ  ชั่วโมง
house    เฮาส์      บ้าน
how      ฮาว       อย่างไร
I           ไอ        ฉัน
idea      ไอเดี๊ย   ความคิด
if          อิฟ        ถ้า
in          อิน        ใน
it          อิท        มัน
just       จัสท      เพิ่งจะ, เพียงแค่
keep     คีพ        เลี้ยง
kind      ไคด      ใจดี, ชนิด
king      คิง         ราชา
know    โน         รู้
land      แลนด    ดินแดน
large     ลาจ       กว้างใหญ่
last       ลาสท    สุดท้าย
late       เลท       สาย
lay        เล         วาง
learn     เลิน       เรียนรู้
leave    ลีฝ        ออกไป
left        เล็ฟท     ซ้าย
less       เล็ส       น้อยกว่า
let         เล็ท       ให้
letter    เล็ทเทอะ จดหมาย
life        ไลฟ      ชีวิต
light      ไลท์      ไฟ, เบา
like       ไลค      ชอบ
line       ไลน      เส้น
list        ลิสท      รายชื่อ
listen    ลิ๊สซัน    ฟัง
little     ลิ๊ททัล    เล็ก
live       ลิฝ        อาศัยอยู่
long      ลอง       ยาว, นาน
look      ลุค        มอง
love      ลัฝ        รัก, ความรัก
low       โล         ต่ำ
main     เมน       สำคัญ
make    เมค       ทำ
man      แมน      ผู้ชาย
many   เม๊นนิ     มาก
map      แม็พ      แผนที่
mark     มาค       เครื่องหมาย
may      เม         อาจจะ
me        มี          ฉัน
mean    มีน        หมายถึง
measure เม๊เชอะ   วัด
might    ไมท      อาจจะ
mile      ไมล      ไมล์
money มั๊นนิ      เงิน
more     มอ        มาก, มากกว่า
morning ม๊อนิง   ตอนเช้า
most     โมสท    ส่วนมาก
mother มัธเธอะ  แม่
mountain  เม๊าทัน  ภูเขา
move    มูฝ        เคลื่อน, ย้าย
much    มัช        มาก
music   มิ๊วสิค     ดนตรี
must     มัสท      ต้อง
my        มาย       ของฉัน
name    เนม       ชื่อ
near      เนีย       ใกล้
need     นีด        ต้องการ
never   เน๊ฝเฝอะ  ไม่เคย
new      นิว         ใหม่
next      เน็กซ     ถัดไป
night     ไนท      กลางคืน
no         โน         ไม่
not        น็อท      ไม่
notice   โน๊ทิส    สังเกต
now      นาว       ตอนนี้
number  นั๊มเบอร์  หมายเลข
of         ออฟ      ของ, ด้วย
off        ออฟ      จาก, ไกล
often     อ๊อฟัน    บ่อยๆ
old        โอลด     เก่า, แก่
on         ออน      บน
once     วันซ      หนึ่งครั้ง
only      โอ๊นลิ     เท่านั้น
open     โอ๊พัน    เปิด
or         ออ        หรือ
order    อ๊อเดอะ  สั่ง
other    อั๊ธเธอะ  อื่น
our       เอ๊าเวอะ  ของพวกเรา
out        เอ้า        นอก
over     โอ๊เฝอะ  บน
own      โอน       เป็นเจ้าของ
page     เพจ       หน้า
paper   เพ๊เพอะ  กระดาษ
part      พาท      ส่วน
pass      พาส      ผ่าน
pattern  แพ๊ททัน   รูบแบบ
people  พี๊พัล      คน
person เพ๊อซัน   บุคคล
picture พิ๊คเชอะ ภาพ
piece     พีซ        ชิ้น
place     เพลส     สถานที่
plant     แพลนท  พืช
play      เพล       เล่น
point     พอยท    ชี้, จุด, คะแนน
port      พอท      ท่าเรือ
press    เพรส     กด
problem พร๊อบลัม  ปัญหา
product พร๊อดัค  ผลผลิต
pull       พุล        ดึง
put        พุท        วาง
question คเว๊สชัน คำถาม
rain       เรน        ฝนตก
reach    รีช         มาถึง
read      รีด         อ่าน
ready   เร๊ดดิ      พร้อม
real       รีล         จริง
red       เรด        สีแดง
remember  รีเม๊มเบอะ จำได้
right      ไรท       ขวา, ถูกต้อง
river     ริ๊เวอะ     แม่น้ำ
road      โรด       ถนน
rock      ร๊อค       หิน
room     รูม         ห้อง
round    เราด      กลม
rule       รูล         กฎ
run       รัน         วิ่ง
same    เซม       เหมือนกัน
say       เซ         พูด
school   สกูล      โรงเรียน
sea       ซี          ทะเล
second เซ๊คัน     ที่สอง
see       ซี          เห็น
seem    ซีม        ดูเหมือน
self       เซลฟ     เอง
sentence เซ๊นเทนส  ประโยค
serve    เซิฟ       บริการ
set        เซ็ท       จัด
several  เซ็ฝรัล มากมาย
she       ชี          หล่อน
ship      ชิพ        เรือใหญ่
short     ชอร์ท    สั้น
should   ชูด        ควรจะ
show     โช         แสดง
side      ไซด      ด้าน
simple ซิ๊มพัล    ง่าย
sing      ซิง        ร้องเพลง
size       ไซซ      ขนาด
slow      สโล       ช้า
small     สมอล    เล็ก
so         โซ        ดังนั้น
some    ซัม        บาง(คน, อัน, ตัว)
song     ซอง      เพลง
soon     ซูน        เร็วๆนี้
sound    เซาด     เสียง
spell      สเป็ล     สะกด
stand    สแตนด  ยืน
start      สตารท   เริ่มต้น
state     สเตท     รัฐ
step      สเต็ป     ก้าว, ขั้นตอน
still       สติล      ยังคง, นิ่ง
story    สต๊อริ     เรื่องราว
study   สตั๊ดดิ    เรียน
such      ซัช        เช่นนั้น
sun       ซัน        พระอาทิตย์
sure      ชัว         มั่นใจ
table    เท๊บัล     โต๊ะ
take      เทค       เอา
talk       ทอค      สนทนา
tell        เท็ล       บอก
than      แดน      กว่า
that       แด็ท      นั่น, ว่า
the        เดอะ      -
their      แด        ของพวกเขา
them     เด็ม       พวกเขา
then      เด็น       ต่อมา
there     แด        ที่นั่น
these    ดีส        เหล่านี้
they      เด         พวกเขา
thing     ธิง         สิ่งของ
think     ธิงค       คิด
this       ดิส        นี่
those    โดส       เหล่าโน้น
though  โด        แม้ว่า
thought             ธอท      ความคิด
through  ธรู        ผ่าน
time      ไทม      เวลา
to         ทู          สู่, ที่จะ
together  ทุเก๊เธอะ          ด้วยกัน
too        ทู          เช่นกัน
top        ท๊อพ      บน, ยอด
toward  ทุวัดส    ไปยัง
travel   แทรวัล   เดินทาง
tree      ทรี        ต้นไม้
true      ทรู        จริง
try        ทราย     พยายาม
turn      เทิน       หมุน, เลี้ยว
under   อั๊นเดอ   ล่าง
understand  อั๊นเดอสแตน เข้าใจ
until     อันทิ๊ล   กระทั่ง
up         อัพ        บน
us         อัส        พวกเรา
use       ยูส        ใช้
very     เว๊ริ        มาก
walk     วอค       เดิน
want     ว๊อนท    ต้องการ
war       วอ         สังคราม
watch    ว็อทช    มอง, ดู
water   ว๊อเทอะ  น้ำ
way      เว          ทาง, วิธี
we        วี           พวกเรา
well      เว็ล        ดี
what     ว็อท      อะไร, สิ่งที่
when    เว็น        เมื่อไหร่, เมื่อ
where   แว         ที่ไหน, ที่
which    วิช         อันไหน, ซึ่ง
while     ไวล       ขณะ
white    ไวท       ขาว
who      ฮู          ใคร, ผู้ที่
whole    โฮล       ทั้งหมด
why      วาย       ทำไม, สาเหต
will       วิล         จะ
wind     วินด       ลม
with      วิธ         กับ, ที่มี, ด้วย
without วิธเธ๊า   ไม่มี
wood    วูด         ไม้
word     เวิด        คำ
work     เวิค        ทำงาน, งาน
world    เวิลด      โลก
write     ไรท       เขียน
year      เยีย       ปี
you       ยู          คุณ
young   ยัง         วัยรุ่น